Review ที่พัก Siamaze Hostel Bangkok

Siamaze Hostel Bangkok

วันนี้ มีเวลาว่างๆ เลยมาเขียน review แนะนำที่พัก แบบ hostel ที่ไปพักบ่อยๆ เวลาขึ้นมา กทม. สักหน่อย ครับ ..

Siamaze Hostel อยู่ใน รัชดา ซ.17 ห่างจากสถานี รถไฟฟ้าใต้ดิน สุทธิสาร ประมาณ 500m
สามารถเดินเข้าไปได้ง่าย ด้านหน้าซอย 17 จะมีร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าต่างๆ มากมาย ทั้ง MC Donald, Maxvalu, ร้านกาแฟ, ร้านส้มตำ, ร้านสุกี้หม้อไฟ ..

ส่วนด้านใน ซอย 17 ใกล้ๆ กับที่พัก ก็จะมีร้านสะดวกซื้อ ทั้ง 7-ELEVEN และ FamilyMart ร้านอาหารตามสั่ง ต่างๆ ก็มีอยู่หลายร้านบริเวณนั้น ..

ที่ Hostel เอง ก็มีบริการ อาหาร เครื่องดื่ม ให้กับผู้เข้าพัก ในราคาไม่แพง และจะมีฟรี อาหารเช้า แบบที่เรา สามารถทำกินเองได้ (DIY) มีกระทะ เครื่องปิ้งขนมปัง และวัตถุดิบ พวกไข่ ขนมปัง แยม ไว้ให้ น้ำก็จะมีน้ำเปล่า กับน้ำผลไม้ และก็มีขนม กับผลไม้ ไว้ให้ด้วย เรียกว่าครบกันเลยทีเดียว กับฟรี อาหารเช้า ของที่นี่ ..

ผมเอง มาที่นี่ ก็ได้ฝึกวิชา การทอดไข่ สูตรต่างๆ หลายๆ สูตร เลยทีเดียว .. ทำเองกินเอง ก็อร่อยดี สนุกไปอีกแบบ ..
เราทำกินเสร็จ ก็ต้องล้างกระทะ ล้างจาน ล้างแก้ว เองนะครับ ซึ่งทางที่พัก จะมีที่ล้างจาน น้ำยาล้างจาน และฟองน้ำ ไว้ให้พร้อม ..

มาพูดถึงประเภท ของห้องพักกันบ้าง ขึ้นชื่อว่า Hostel ก็แน่นอนว่า ต้องมีห้องนอนรวม (Dorm) แบบเตียง 2 ชั้น หลายๆ เตียงอยู่แล้ว ซึ่งกำลังเป็น trend ฮิต ของนักเดินทาง backpacker ทั่วโลก ในตอนนี้ ..

การที่เราพัก hostel ทำให้เราได้เพื่อน ได้แลกเปลี่ยนภาษา ได้ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ที่จำเป็นในการเดินทาง เพราะส่วนใหญ่แล้ว คนที่พัก hostel จะเป็น backpacker มากประสบการณ์ ..

หอพักรวม 8 เตียง (8-Bed Mixed Dormitory) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 200 บาท
หอพักหญิง 8 เตียง (8-Bed Female Dormitory) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 200 บาท
หอพักรวม 4 เตียง (4-Bed Mixed Dormitory) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 250 บาท
ห้องออง สวีท เตียงแฝด (En Suite Twin) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 900 บาท
ห้องออง สวีท เตียงใหญ่ (En Suite Double) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 900 บาท
ห้องสำหรับครอบครัว (Family) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1500 บาท

สำหรับคะแนน ถ้าให้เต็ม 10 สำหรับ Siamaze Hostel ผมให้ประมาณนี้ครับ
ความสะอาด 9
สิ่งอำนวยความสะดวก 10
สถานที่ตั้ง 9
ความสะดวกสบายและคุณภาพของห้องพัก 10
การให้บริการ 9
คุ้มค่ากับเงินที่จ่าย 10

สรุป โดยรวมแล้ว เรียกว่าดีมาก ประทับใจมาก
– Staff ก็ช่วยเหลือดี เป็นกันเองดี
– มี free WiFi ที่คุณภาพดี ทำงานได้สบายๆ ..
– มีพื้นที่ส่วนกลาง ให้พักผ่อน หรือนั่งทำงานได้ ..
– ห้องน้ำ แยกหญิงชาย แยกห้องอาบน้ำ เป็นสัดส่วน และมีจำนวนมาก เพียงพอ ให้กับผู้เข้าพัก ได้ใช้งาน ..
– ฟรีอาหารเช้า ของที่นี่ ก็ดี ประทับใจ ทำให้เราได้ประหยัด ค่าอาหารเช้าไปได้อีกเยอะ ในราคาที่พัก แค่ 200 บาท ถ้าใครเข้าพัก ในคืนวันศุกร์ ก็จะมี free buffet B-B-Q ให้ได้ปิ้งย่างกันด้วย ..
– ส่วนเรื่อง ที่ตั้งของ hostel นั้น ก็ถือว่าไม่ไกล จาก MRT สุทธิสารมากนัก สามารถเดินชิลๆ ได้ มีร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ใกล้ๆ ที่พัก ไม่ต้องเดินออกไปไกล ..

ผมเห็นฝรั่ง และคนจีนบางคน พักที่นี่กัน หลายเดือนเลย มากี่ครั้ง ห่างกัน 2-3 เดือน ก็ยังเจออยู่ก็มี ..

ดูรายละเอียดที่พัก เพิ่มเติม
Siamaze Hostel Bangkok

ปล.ขอบคุณภาพประกอบ จาก agoda และ Instagram
https://www.instagram.com/explore/tags/siamaze/

Taiwan 1st Time


เมื่อช่วงวันที่ สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวไต้หวัน แบบ backpack เลยจะมาเขียนเล่า
เป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจ แบคแพคไต้หวัน .. ไต้หวัน เที่ยวง่ายมาก การเดินทางสะดวกสบาย ..

รูปภาพเล่าเรื่อง
https://web.facebook.com/pornpasok/media_set?set=a.10211162146674410.1073741856.1379813288&type=3

นั่งรถไฟ ไปฮานอย


เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากปิดงาน project นึงเสร็จ ผมก็มีความคิดที่ว่า อยากลอง นั่งรถไฟ
ไปที่ไหนสักแห่ง แบบที่เค้าไปกัน อย่างเช่น Trans-Siberian แต่ผมเอง ตอนนี้ ยังไม่มีเวลา
และความพร้อมมากขนาดนั้น เลยจะลองหา mini trip ดูก่อน จะได้เตรียมความพร้อมไว้ ..

17 Oct 2017
ตัดสินใจเก็บของใช้ที่จำเป็น ใส่เป้ deuter 55+10 คู่ใจ ที่ใช้ตลอด เวลา backpack ไปที่ต่างๆ
มาที่สถานีรถไฟ หัวลำโพง ถึงหัวลำโพง ประมาณ 3PM ก็เลยมองๆ หา สถานีปลายทางที่อยากไป
สุดท้าย ตัดสินใจว่า น่าจะนั่งไปลงหนองคาย แล้วข้ามไปฝั่งลาว จากลาวนั่งรถบัส ไปลงฮานอย จากนั้น
ค่อยว่ากันอีกที ว่าจะไปไหนต่อดี ..

รถไฟชั้น 3 ขบวน 77 กรุงเทพ (Bangkok) – หนองคาย (Nong Khai) ราคาตั๋ว 253 บาท
ออกจาก กรุงเทพ 6.35 PM ถึง หนองคาย 4.15 AM

นานแล้ว ที่ไม่ได้นั่งรถไฟชั้น 3 นานๆ แบบนี้ ก็สนุกดี ได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมเดินทาง ในขบวนเดียวกัน
ส่วนใหญ่ จะเป็นคนอีสาน และคนลาวจากฝั่งลาว ที่มาทำงาน ใน กทม. และเมืองใหญ่ๆ ในไทย
เดินทางกลับบ้านกัน เพื่อไปทำนา เกี่ยวข้าว หลังผ่านช่วงเก็บเกี่ยว ถึงจะเดินทางกลับไปทำงานที่เดิม ..

18 Oct 2017
รถไฟมาถึง สถานีปลายทาง หนองคาย ประมาณ ตี 4 ผู้คนต่างลงจากรถไฟ บ้างก็มีญาติพี่น้องมารอรับ
บ้างก็นั่งรถสามล้อ ไปบ้าน หรือนั่งไปต่อรถที่ขนส่งอีกทีนึง ผมเองลงมาล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน
แล้วก็นอนต่อสักพัก (เอาถุงนอนมาด้วย) เพราะยังมืดอยู่เลย ไม่รู้จะไปไหนยังไง ..

นอนอยู่ มีลุงขับสามล้อ มาเรียก บอกว่าไปขนส่ง 60 บาท ผมเองเลยบอกเดี๋ยวค่อยไป ขอพักสักแป๊บนึงก่อน
ประมาณสัก 6 โมงเช้า ลุงมาเรียกอีกรอบ ผมก็เลยไปกับแก ไปถึงขนส่งหนองคาย รถบัสที่จะเข้าไป
ฝั่งลาว มีเที่ยว 7.30 AM ผมเองอยากหาซื้อข้าว ซื้ออะไรกินก่อน ก็เลยซื้อตั๋วเที่ยว 9.30 AM แทน ..
ปล.จริงๆ แล้ว ถ้ารออีกสักนิด จะมีขบวนรถไฟ หนองคาย – เวียงจันทร์ วิ่งเข้าลาวเลย ไม่ต้องต่อหลายต่อ
ราคา 20 บาท อันนี้ พี่คนไทย ที่มาปั่นจักรยาน ในลาว เขาบอกมาอีกที ตอนผมไปเจอพี่เค้าที่ขนส่งสายใต้ลาว ..

ระหว่างที่รอรถ ก็เดินเล่น หาถ่ายรูปแนว street ในตลาดสด ใกล้ๆ สถานีขนส่ง และหาข้าวเช้ากิน ..
9.30 AM รถบัส ก็ออกตรงเวลา จากสถานีขนส่ง หนองคาย ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ผ่านด่าน
ตรวจคนเข้าเมือง มาจอดที่ตลาดเช้าเวียงจันทร์ ผมโชคดี ได้เพื่อนตอนนั่งรถมาด้วยกัน เป็นสาวเวียดนาม
เชื้อสายไทย พูดไทยได้ ชื่อฟ้า ทำงานอยู่ศรีราชา เค้ากำลังกลับบ้าน ที่ดานัง เหมือนกัน เค้าก็เลยพาผมไปขึ้น
รถเมล์เขียว เพื่อไปลง ที่ขนส่งสายใต้ ซึ่งอยู่ไกลกันพอสมควร ค่ารถเมล์ ประมาณ 20 บาทไทย ..

ถึงขนส่งสายใต้ กว้างขวาง สะอาดสะอ้านดี แต่ว่ารถที่จะไป ฮานอย มีเที่ยว 6.00 PM ผมก็เลยหาอะไรกิน
เดินถ่ายรูปเล่น แถวๆ นั้นไปเรื่อย เจอพี่คนไทย ชื่อสงกรานต์ มาทำงานที่เวียงจันทร์ เลยมาปั่นจักรยานเล่น
ได้คุยกับพี่เค้า ได้ความรู้ในการเดินทาง และประสบการณ์ต่างๆ ในลาวเยอะพอสมควรเลย ..

Camping – Cooking ที่ อช.เขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด

ช่วง weekend ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาส ไปกางเต็นท์นอน ที่ อช.เขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด
บรรยากาศดีมากครับ กางเต็นท์ริมทะเล ได้ทำอาหารกินเอง สนุกมาก อร่อยด้วย ..

การเดินทางก็ไม่ยาก ผมไปขึ้นรถทัวร์ ที่เอกมัย นั่งเชิดชัยทัวร์ ไปลงบ้านเพ แล้วเหมารถสามล้อ
ไปลงหน้า อช. ค่าเหมารถ 150 บาท ระยะทางประมาณ 6km ระหว่างทาง สามารถให้พี่เค้าจอด
เพื่อซื้อของเตรียมไป camping – cooking ได้ เพราะระหว่างทาง จะผ่านตลาดบ้านเพ ..

ส่วนใครที่ขับรถมา ก็สบายหน่อย สามารถขับเข้าไป ที่ อช. ได้เลย แต่แนะนำว่า ถ้าเป็นช่วง
เสาร์-อาทิตย์ รถจะเยอะมาก คนก็จะเยอะ ที่จอดรถจะไม่ค่อยมี ถ้ามา ต้องมาแต่กลางวัน ..

ค่าเข้า อช. 40 บาท ค่ากางเต็นท์ 30 บาท หรือจะเช่าเต็นท์ ที่ทาง อช. เตรียมไว้ให้ก็ได้
ราคา 150 บาท ก็สะดวกดี ไม่ต้องแบกเต็นท์มาเอง แต่ผมชอบนอนเต็นท์ตัวเองมากกว่า ..

เดินทางมาถึง ก็รีบหาที่กางเต็นท์ กางเสร็จ จะได้มีเวลาเดินถ่ายรูปเล่น บริเวณนั้น ผมมาถึง
ก็เย็นแล้ว ก็เลยเดินได้ไม่เท่าไร ก็มืด พรุ่งนี้กะว่า ค่อยเดินใหม่ ตั้งแต่เช้า ..

จากนั้นก็เริ่มหุงข้าว ทำกับข้าวกินกัน ผมแบก cook set กับ เตาแก๊สกระป๋องไปด้วย
ทำกับข้าวเองก็สนุกไปอีกแบบ แต่ไม่ได้หุงข้าว แบบไม่เช็ดน้ำเองมานาน สรุปข้าวแฉะ
ไหม้ด้วย เป็นข้าว 3 กษัตริย์ อร่อย-หอม ไปอีกแบบ ..

กับข้าวที่ทำก็เป็นอะไรง่ายๆ ไข่เจียวแหนม ผัดผักรวม+หมูกรอบ ต้มจืดเต้าหู้หมูสับ แล้วก็ได้พี่
เต็นท์ข้างๆ ที่เค้าจัดเต็ม เอาผัดผัก มาให้อีกจาน สรุป มื้อนี้อิ่มมาก อร่อยมาก สนุกมาก ..

กินข้าวเสร็จ ล้างทำความสาด cook set ก็ไปอาบน้ำ ห้องน้ำที่นี่สะดวกสบายมาก ไม่ต้อง
ต่อคิวกันเยอะ เพราะว่า มี 2 จุด จุดละหลายห้อง ที่ล้างจานชาม ก็สะดวกสบาย ไฟเปิดตลอด ..

จากนั้นก็ออกไปถ่ายรูปแสงสี ยามค่ำคืน ถ่ายดาว นั่งชิล ริมทะเล เป็นบรรยากาศ ที่ดีมากๆ
คนมาเยอะ เรื่องเสียงก็ดัง เป็นธรรมดา แต่หลัง 4 ทุ่ม ก็จะเริ่มเบาลง เริ่มนอนกัน
ถ้ายังเสียงดัง เจ้าหน้าที่ก็จะเดินมาเตือน ที่นี่เดินทางมาง่าย รถเข้าถึง เลยทำให้คนมากันเยอะ
เอาเหล้าเข้ามากินกันเยอะ มีบางเต็นท์กินกันจนเช้าก็มี ..

ตื่นเช้ามา ก็เริ่มเดินรอบจุดชมวิว 9 จุด ไม่ไกลมาก ระยะทาง 2km ได้ เดินไปถ่ายรูปไป
วิวสวยมาก สวยกว่า เมือง Fujisawa ที่ญี่ปุ่น อีก เหมาะสำหรับ มาถ่ายรูป แนวชิคๆ คูลๆ
สีเหลืองทองของหญ้า ตัดกับสีฟ้าคราม ของน้ำทะเล มีเรือประมงแล่นผ่าน เป็นมุมที่สวยมากๆ ..

หลังจากเดินไป ถ่ายรูปไป จนรอบบริเวณ ก็มาเก็บของ เก็บเต็นท์ แล้วไปอาบน้ำ จากนั้น
โบกรถกระบะ ชาวบ้านแถวนั้น ออกไปที่สถานีขนส่ง ใกล้ๆ ท่าเรือนวลทิพย์ ที่รถเชิดชัยทัวร์
จอดอยู่ ชาวบ้านที่นี่ใจดีมาก มาส่งถึงที่เลย ผมแวะหาข้าวกินก่อน ตรงร้านสวัสดิการ สน.บ้านเพ
เป็นร้านที่คนพื้นที่เค้ากินกัน เพราะราคาไม่แพง และอร่อย ไม่ได้ขายราคาขูดรีดนักท่องเที่ยว
แบบร้านติดๆ ท่าเรือนวลทิพย์ ..

เดินหาซื้อของฝาก แถวๆ ท่าเรือ พักนึง ก็ได้เวลาขึ้นรถทัวร์ กลับ กทม. เที่ยว 2PM ทั้งรถ
แทบจะไม่มีคนไทย มีแต่ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น รถวิ่งประมาณ 4 ชั่วโมง ก็ถึงสถานีขนส่งเอกมัย ..

Trip นี้ เป็นทริปที่สนุกมาก ได้ทุกรสชาด ได้กางเต็นท์นอนริมทะเล วิวสวยๆ บรรยากาศดี
ได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ได้ทำอาหารกินเอง ได้ถ่ายรูปกับธรรมชาติสวยๆ
ได้เดินทาง backpack โบกรถ เป็นอะไรที่ครบมากๆ ค่าใช้จ่าย 2 วัน 1 คืน รวมหมดแล้ว
ประมาณ 1000 บาท ไม่แพงเลย ใครอยากออกมากางเต็นท์ริมทะเล ไม่ไกล กรุงเทพมากนัก
ที่นี่เลยครับ อช.เขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ..

เอารูปสวยๆ บางส่วนมาฝากกันครับ

Hanoi – Sapa 1st Time

FANSIPAN, Sapa

เมื่อช่วงกลางเดือน ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเยือนเวียดนาม
อีกครั้งนึง แต่ครั้งนี้เป็นเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งผมเองก็เพิ่งเคยมาครั้งแรก เหมือนกัน
ที่ plan ไว้คร่าวๆ ก็คือจะเที่ยวฮานอยสักวันนึง แล้วขึ้นไปซาปา สัก 2 วัน ..

14 Dec 2016
ขึ้นเครื่องจากดอนเมือง มาลงนอยไบ (Noi Bai International Airport) ฮานอย
ด้วยสายการบิน Air Asia ก็เวลาเกือบ 9PM แล้ว ลงเครื่องเสร็จ จัดการซื้อ SIM
ของ Viet Mobile เพื่อที่จะได้ใช้ค้นหาข้อมูล และ maps ในการเดินทางได้ ..
ผมออกจากสนามบิน ด้วย shuttle bus ไปลงที่ Station 7 (Old Quarter)
ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่า และเป็นถนนคนเดินของที่นี่ เดินทางไปไหนก็สะดวก คล้ายๆ
ย่านข้าวสาร บ้านเรา นักท่องเที่ยว ก็จะพักกันบริเวณนี้ อาหารการกิน ก็สะดวก สบาย ..

ที่พักที่ผมจองไว้ เป็น Hostel คืนละ 180 บาท ผ่าน agoda.com เป็น Hostel
ที่ชาวต่างชาตินิยม มาพักกัน ชื่อ Old Quarter View Hanoi Hostel ราคาคุ้มมาก
ห้องนอนรวม และ ห้องน้ำสะอาดมาก มีจำนวนหลายห้อง ไม่ต้องรอคิวอาบน้ำ
ที่สำคัญมีบริการอาหารเช้าฟรี อยู่ในย่าน Old Quarter เดินไปไหน มาไหนก็สะดวก
และย่านนั้น คึกคักตลอดทั้งวัน ..

ถึงที่พัก checkin เสร็จ ก็เอาของไปเก็บไว้ ใน locker ห้องที่ผมนอนเป็นห้องนอนรวม 8 คน
ส่วนใหญ่เป็นเพื่อน backpacker ชาวเยอรมัน และยุโรป ไม่ค่อยเจอคนเอเชีย เท่าไร ..
จากนั้นก็ลงมาเดินเล่น ตามถนนคนเดิน ร้านอาหารต่างๆ เยอะมาก คึกคักมาก ร้านเสื้อผ้า
พวก the north face (เวียดนาม) ก็มีเยอะมาก ขายกันตลอด เพราะเป็นที่นิยมของ
นักท่องเที่ยวไทย จะมีถนนเส้นนึงที่เป็นย่านที่นักท่องเที่ยว และคนฮานอยเอง มานั่งดื่มเบียร์กัน
เค้าจะมีเก้าอี้ตัวเตี้ยๆ จัดไว้ให้ ใครอยากนั่งตรงไหน ถ้าว่าง ก็มานั่งได้ เบียร์ที่นี่ ราคาไม่แพง
มีหลากหลายยี่ห้อมาก ผมก็มานั่งพักตรงนี้ หลังจากเดินถ่ายรูป night life ไปทั่วย่านนี้
นั่งดื่มเบียร์ ดูหญิง ไปเรื่อย ก็ชิลดีเหมือนกัน ประมาณเที่ยงคืน เค้าก็เก็บร้านกัน ..

15 Dec 2016
วันนี้ ผมตั้งใจจะเดินทางไป Sapa ในตอนกลางคืน ด้วยรถบัสแบบนอน ก็เลยให้ทาง Hostel จองให้
ราคา 15 USD ถูกกว่ารถไฟนอนครึ่งนึง แล้วก็มีข้อดีคือไม่ต้องต่อรถ เพราะรถจะไปถึงซาปา เลย
แต่รถมีแต่ช่วงดึก ผมได้รถเที่ยว 9PM แต่เอาเข้าจริง กว่าจะได้ขึ้นก็ 10PM
ตอนเช้าก็เลยเดินเล่น เก็บภาพไปเรื่อย ทั้งแนว street – life ของชาวฮานอย
เดินเล่นบริเวณรอบๆ ทะเลสาป นั่งร้านกาแฟ เดินดูอะไรไปเรื่อย เพื่อรอเวลาขึ้นรถไปซาปา
พอใกล้เวลารถออก ก็จะมีพนักงานขี่มอไซค์มารับที่ Hostel แต่จริงๆ เดินไปก็ได้ ไม่ไกลมาก
ไปถึงก็เจอนักท่องเที่ยวเยอะมาก รอขึ้นรถกันอยู่ ซึ่งระบบคิว ค่อนข้างมั่วมาก เพราะว่า
ใครจะขึ้นจะนั่งตรงไหน ก็ได้ รถจะมี 2 ชั้น เบาะมี 3 แถว สามารถปรับเอนนอนได้
ก่อนขึ้นเค้าจะให้ถุงพลาสติกเราใบนึง เพื่อไว้เก็บรองเท้า รถแบบนี้ผมเคยนั่งมาก่อนแล้ว
ครั้งนึงตอนนั่งจากโฮจิมินห์ ไปดาลัด ก็เลยยังพอเข้าใจ ถ้าใครเคยนั่งครั้งแรกคงงงเหมือนกัน
รถจะวิ่งยาว จาก ฮานอย – ซาปา แต่จะหยุดพักเป็นช่วงๆ ให้ได้เข้าห้องน้ำระหว่างทางกัน
ระยะทางจาก ฮานอย – ซาปา ประมาณ 300km ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง เพราะ
เป็นทางขึ้นเขา และเค้าจำกัดความเร็ว และมีการเปลี่ยนกะกันขับ แบบนี้ก็ปลอดภัยดี ..

นอนอยู่เพลินๆ ประมาณตีสี่ รถก็มาจอดข้างทะเลสาป ที่ซาปา และคนขับก็มาเรียกบอก ซาปาๆๆ
พวกนักท่องเที่ยว ที่เคยมาครั้งแรกแบบผม ก็พากันงง เพราะมันมืดมาก ไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหน
อากาศเย็นมาก แถมฝนตกอีก ผมเองยังไม่ได้จองที่พักมาด้วย ก็เลยไปหาร้านกาแฟ ที่เปิดเช้านั่ง
แล้วก็ search หาที่พัก จาก agoda ก็เลยได้โรงแรม ที่ดูจากรูปแล้ว Ok อยู่บนเนินนิดนึง
เดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวก ชื่อ Sapa Elite Hotel ราคาก็ไม่แพงมาก คืนละ 800 กว่าบาท
แต่ถ้าใครจะมาซาปา ผมแนะนำโรงแรมข้างๆ ที่ชื่อ Sapa Panorama Hotel ดีกว่า
เพราะราคาไม่ต่างกันมาก แต่วิว และ lobby ดีกว่า สะดวกสบายกว่า ..

จุดนี้ผมว่าเป็นส่วนตัว และสะดวกสบาย ในการเดินทางเที่ยวชมเมืองซาปา เมืองในสายหมอก
เพราะว่าเดินลงไปด้านล่าง ก็คือโบสถ์คริส และย่านชุมชน ของซาปาแล้ว จะไปไหนก็เรียก
TAXI หรือมอไซค์รับจ้างไปส่ง ก็สะดวก ต่อรองราคานิดหน่อย เพราะส่วนใหญ่เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว ..

Lao Cai, Sapa

Update 2018-05-09 ดองกันข้ามปี …

ซาปา เป็นเมืองเล็กๆ บนเทือกเขาสูง มีทะเลสาป มีหมู่บ้านชาวเขา เผ่าต่างๆ มากมาย
ที่ทำนาแบบขั้นบันได อากาศหนาว ตลอดทั้งปี ถ้าไปช่วงปลายปี จะหนาวมากและมีหมอกลง
ยืนห่างกัน ระยะประมาณ 3-4 เมตร ก็มองไม่เห็นหน้ากันแล้ว ..

ที่ซาปา ศูนย์กลาง ของเมือง จะเป็นบริเวณโบสถ์ ที่มีจตุรัส (น่าจะได้อิทธิพล มาจากฝรั่งเศส เพราะหลายๆ
เมืองของเวียดนาม ก็จะมีลักษณะแบบนี้ เช่น ดาลัด) สำหรับทำกิจกรรมของคนในเมืองซาปา
ไม่ว่าจะออกกำลังกาย เดินเล่น หรือขายของ กลางคืนจะมีถนนคนเดิน มีสินค้าหลากหลายประเภท
โดยเฉพาะ พวกเสื้อผ้า กระเป๋าทอมือ ของชนเผ่า มาขายกัน พวกปิ้งย่าง เสียบไม้ ก็มีเยอะมาก น่ากินดี ..

สำหรับนักท่องเที่ยว สาย trekking ก็ควรไปพิชิต ยอด ฟานซิปัน (Fansipan) สูง 3,143m
จากระดับน้ำทะเล เรียกได้ว่า เป็นหลังคาแห่งอินโดจีน เพราะสูงสุดในย่านนี้ ..

ตอนผมไปมีกระเช้า ขึ้นไปถึงยอดฟานซิปันแล้ว ค่าโดยสารกระเช้า ก็ประมาณคนละ 1000 บาท
ระหว่างที่นั่งกระเช้า จะเห็นวิวท้องนา ของหมู่บ้าน Tavan สวยงามมาก แต่ช่วงที่ขึ้นไป
สูงๆ มากๆ จะมีแต่หมอก มองไม่เห็นอะไรเลย ..

ใครที่ชอบธรรมชาติ วิวทุ่งนา นาขั้นบันได ก็สามารถเช่ามอเตอร์ไซค์ ขี่ หรือจ้างคนขับด้วยก็ได้
ไปหมู่บ้าน Cat Cat Village, หมู่บ้าน Tavan ภายในหมู่บ้าน ก็จะมีสินค้าหัตถกรรม ของชาวเผ่า
ต่างๆ ขายกัน ใครชอบก็สามารถซื้อติดไม้ ติดมือ กลับมาได้ครับ ..

กลับจากชมหมู่บ้าน ผมก็เดินเล่น ถ่ายพวกแนว street ผมชอบตลาดสด ของที่นี่มากๆ มีสินค้า
หลากหลายดี และดูมีชีวิตชีวา ไก่ที่นี่ตัวใหญ่มากๆ พืชผัก ก็ดูอุดมสมบูรณ์ กว่าบ้านเรา ราคาไม่แพง ..

ผมพักอยู่ ซาปา 3 วัน 2 คืน ก็เที่ยวซาปาได้ทั่ว ขากลับผมอยากลองนั่งรถไฟนอนบ้าง ก็เลยให้ทาง
โรงแรมจองให้ ราคาก็ประมาณ $40 ตอนจอง ให้บอกเจ้าหน้าที่ทางโรงแรม ว่าขอเตียงล่างนะครับ
เพราะถ้าได้ เตียงบน แบบผม จะนอนลำบากมาก จะลงมาเข้าห้องน้ำ ก็ลำบาก จะลุกนั่งก็ลำบาก ..

นั่งรถมินิบัส ออกจากโรงแรม มาลงที่สถานีลาวไก ห้องในตู้รถไฟ ที่ผมนอน จะมี 4 นอน เป็นเตียง 2 ชั้น
2 เตียง แต่มีผู้โดยสาร 3 คนเท่านั้น คือ 2 สาว จากประเทศอิสราเอล และผม อีก 1 คน ..

รถไฟ ใช้เวลาวิ่งประมาณ 8-9 ชั่วโมง มาถึงฮานอย ประมาณตี 5 ซึ่งยังมืดมาก ผมเปิด Google Maps
เพื่อที่จะเดินไปยัง Hostel ที่พักตอนแรก ที่อยู่ฮานอย ย่าน Old Quarter เพื่อที่จะอาบน้ำ แต่งตัว
รอไปขึ้นเครื่อง ที่สนามบินนอยไบ ..

สนามบิน นอยไบ จะกว้างเหมือนกัน มี T1, T2 ต้องเช็ค ดีๆ ว่าเที่ยวบิน ที่เราจะบิน ขึ้นที่ Terminal ไหน
แต่ส่วนใหญ่ ถ้าเป็นระหว่างประเทศ ก็จะเป็น Terminal 2 ที่สร้างใหม่ ..

สรุป ซาปา เป็นอีกเมือง ที่ผมประทับใจมาก อากาศเย็นสบาย แต่ตอนนี้ พอนักท่องเที่ยวมากันเยอะมากขึ้น
เมืองก็เริ่มจะขยับขยาย สิ่งก่อสร้างต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย อย่างไร้ระเบียบ ขยะ มลพิษต่างๆ ก็ตามมา ..
หวังว่าซาปา จะคงความเป็นเมืองเงียบสงบ บนเทือกเขา อากาศดีๆ วิวสวยๆ ที่น่าค้นหา แบบนี้ต่อไปนะ ..

ค่าใช้จ่ายที่ ฮานอย, ซาปา เริ่มจะพอๆ กับเมืองท่องเที่ยวบ้านเราแล้ว แต่ก็ไม่แพงมากนัก เที่ยวได้ชิลๆ ..

รูปภาพ เพิ่มเติม ฮานอย
https://web.facebook.com/pornpasok/media_set?set=a.10208740090524520.1073741852.1379813288&type=3

รูปภาพ เพิ่มเติม ซาปา
https://web.facebook.com/pornpasok/media_set?set=a.10208740012962581.1073741851.1379813288&type=3

1st time in Hong Kong (HK)

พระใหญ่ ที่ฮ่องกง
พระใหญ่ ที่ฮ่องกง

ช่วงปลายเดือนสิงหาหาคม 2016 ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเดินทางไป Hong Kong
นับเป็นครั้งแรกของผมเหมือนกัน เพราะปกติไปแต่เฉียดๆ อยู่แถวมาเก๊า, เซินเจิ้น
ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ไกลจากฮ่องกงเท่าไรนัก การไปฮ่องกงครั้งนี้ก็ไม่ได้ไปเที่ยวเฉยๆ
แต่มีภาระกิจอื่นด้วย เลยได้มีโอกาสเที่ยวไม่มากนัก แต่ก็ถือว่า ได้ไปจุดสำคัญๆ ได้ครบ ..

สำหรับผม ฮ่องกงเป็นเมืองที่เดินทางง่าย เพราะรถไฟฟ้าทั่วถึงทั้งเกาะ แต่ค่าโดยสาร
ก็ไม่ได้ถูก แต่ถ้าเทียบกับค่าครองชีพของคนที่นี่ ก็น่าจะเป็นเรื่องปกติของเค้า
แต่สำหรับคนไทย รายได้แบบไทยๆ แบบผม ค่าครองชีพที่ฮ่องกง ถือว่าสูงมาก
มากกว่าเมืองไทย ประมาณ 6-7 เท่า สำหรับค่าอาหาร น้ำเปล่า และการเดินทาง
แต่สำหรับของ brand name ต่างๆ ก็จะถูกกว่าบ้านเราเยอะเหมือนกัน ..

ส่วนเรื่องที่พัก ผมเลือกพักย่าน Tsim Sha Tsui เพราะว่าเป็นย่านที่ราคา
ถือว่าไม่แพงมาก และมี Hostel ให้เลือกเยอะ เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก
Hostel ที่ผมพัก ส่วนใหญ่ จะเป็นชาวต่างชาติ เกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป จีน
ไม่เจอคนไทย คนไทย จะไม่ค่อยนิยมพัก Hostel กัน อาจจะเพราะว่า
มันต้องนอนรวมกับคนอื่น กลัวจะไม่เป็นส่วนตัวมั้ง แต่สำหรับผ ผมว่าดีนะ
ได้เพื่อนใหม่ ได้พูดคุย ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ .. การเดินทาง ..

อาหารที่ฮ่องกง จะออกหวานๆ นิดหน่อย ที่นี่ผับบาร์เค้าจะเปิดกันยันเช้า
มีร้านปิ้งย่าง ร้านแผงลอย คล้ายๆ บ้านเรา สาวๆ ที่นี่ ส่วนใหญ่น่ารัก
เป็นเมืองที่เหมาะสำหรับขา shopping เพราะว่า มีสินค้า brand name
ต่างๆ ลดราคากันแทบทุกร้าน ทุกห้าง สำหรับคนที่ชอบเที่ยวแนวธรรมชาติ
แนวไหว้พระ ทำบุญ ก็มีให้ ..

แต่สำหรับค่าครองชีพที่นี่ ผมขออยู่เมืองไทยดีกว่าครับ 🙂

เที่ยวปีนัง (Penang) กับตังค์ 500 บาท

Penang International Airport
Penang International Airport

ช่วงวันที่ 29 – 31 July ที่ผ่านมา เรามีโอกาสเดินทางแบบ backpack
ไปเที่ยวปีนัง การเดินทาง ใช้สายการบิน Air Asia เที่ยวบินที่ไปถึงก็เย็นๆ
ที่ปีนังเวลาจะเร็ว กว่าไทย 1 ชั่วโมง (GMT+8) ..

Trip นี้เราเองไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากนัก เพราะว่าเป็น trip สั้นๆ ใกล้ๆ
ด้วยความที่ไม่ได้เตรียมตัว จึงเป็นที่มาของชื่อ trip นี้ คือ
“เที่ยวปีนัง (Penang) กับตังค์ 500 บาท” เรากะไปแลกเงินที่ดอนเมือง
ใน gate ปกติจะมี Money Exchange ของ SCB ที่สามารถใช้
บัตรเครดิตของ SCB รูดเป็นเงินสกุลต่างๆ ได้ โดยที่ rate Ok เรารับได้
เพราะเราไม่ได้กะแลกไปมาก ถ้าแลกมากๆ ก็ไป SuperRich ก็จะดีกว่า ..

แต่เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ระบบ Online ของ SCB มีปัญหาพอดี เราก็เลย
แลกเงินไม่ได้ ข้างในไม่มีตู้ ATM ด้วย เครื่องก็ boarding pass แล้ว
เลยต้องรีบไป ตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า เพราะว่าปกติประเทศอื่นๆ
จะมี Money Exchange แบบที่เอา credit card ไปรูดเป็นเงินสดได้
แต่ที่ปีนัง (มาเลย์เซีย) ไม่มี เค้ารับ “Cash Only” งานงอกสิครับทีนี้
เพราะว่ามีเงินสดติดตัวเป็นเงินไทย ไปแค่ 500 บาท บัตร ATM ที่ใช้อยู่
ก็เป็นบัตร ATM แบบธรรมดา ไม่ใช่ Visa, Master Card ก็เลยไม่สามารถ
กดที่ต่างประเทศได้ ปกติกดเงินต่างประเทศ จะเสียค่าธรรมเนียม 100 บาท
ส่วนบัตรเครดิต จริงๆ สามารถกดเงินสดได้ แต่ว่าเราไม่เคยกด เลยจำ
Password ไม่ได้ ก็เลยงานงอก ไม่รู้จะทำอย่างไร เอาวะ 500 บาท
ไปแลกเป็นเงิน RM ได้ประมาณ 52RM เข้าไปในเมือง ไปหาที่พัก
ที่จองไว้ก่อน เผื่อในเมือง จะมีที่แลกเงินแบบรับรูดจากบัตรเครดิตได้ ..

รถ Bus สาย 401 นั่งเข้าเมือง Komtar
รถ Bus สาย 401 นั่งเข้าเมือง Komtar

สำหรับการเดินทางจาก Penang International Airport จะมีรถ bus
หลายสายที่สามารถเดินทาง ไปที่ตึก Komtar ที่เป็นศูนย์รวมของการขนส่ง
ในปีนังได้ เช่นสาย 102, 401, 401E ใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที ราคา 3RM ..

Container Hotel Penang
Container Hotel Penang

ห้องพัก สะอาด เรียบร้อย ไม่มีเสียงรบกวน
ห้องพัก สะอาด เรียบร้อย ไม่มีเสียงรบกวน

ที่พักที่เราจอง อยู่ในย่านเมืองเก่า ย่าน Street Art of George Town
เป็นที่พักๆ ชิคๆ คูลๆ Container Hotel Penang เราจองเป็น ห้องรวม
คืนละ 30RM เป็นตู้คอนเทนเนอร์ แบ่งเป็นเตียงย่อยๆ 2 ชั้น ที่พักดีมาก
ไม่มีเสียงรบกวนจาก ผู้เข้าพักคนอื่น ถึงแม้จะเป็นห้องรวมก็ตาม เก็บเสียงดีมาก
ห้องน้ำ แยกชายหญิง สะอาดดี มีสบู่ กับยาสระผมให้ ตอนเราไปถึง เจ้าหน้าที่
จะให้ถุงเรามาถุงนึง ที่มีผ้าเช็ดตัว และแปรงสีฟันและยาสีฟันให้ชุดนึง ..
ที่พัก เราจองผ่าน agoda มาก่อนแล้ว ก็เลยไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก รอดไป ..

หลังจากเข้าที่พัก เก็บเป้สัมภาระ เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเราเดินสำรวจ
ย่าน George Town ที่เต็มไปด้วย รูปภาพศิลปะ ตามผนังตึกต่างๆ
เราเองก็เดินตามจุด check point จากแผนที่ ที่ขอมาจาก Hostel
จุดต่างๆ อยู่ใกล้ๆ กัน เดินไปได้เรื่อยๆ ส่วนใหญ่ จะเจอแต่นักท่องเที่ยวจีน
เราเอง เดินถ่ายรูปไปด้วย เดินหา Money Exchange ที่สามารถจะรูดเงิน
จากบัตรเครดิตได้ แต่ทุกๆ ที่จะบอกเหมือนกัน ให้ไปกด ATM เป็นเงินสด
เพราะเค้ารับแต่ “Cash Only” อธิบายยังไงก็ไม่เข้าใจ ว่าบัตร ATM เรา
มันกดไม่ได้ เพราะเป็นบัตรแบบธรรมดา +____+

ผัดไทยปีนัง ใส่หอยดอง เค็มๆ มันๆ
ผัดไทยปีนัง ใส่หอยดอง เค็มๆ มันๆ

ตอนนี้ มีเงินเหลืออยู่ติดตัวไม่ถึง 40RM แล้ว เพราะว่าซื้อน้ำบ้างอะไรบ้าง
ในระหว่างการเดินทาง เราก็เลยเดินมาย่าน Love Lane เพราะได้ยินมาว่า
แถวนี้ของกินต่างๆ ร้านรวงต่างๆ มีมากมาย ราคาไม่แพง ก็เลยได้ผัดไทย
ราคาประมาณ 4RM เป็นอาหารของค่ำคืนนี้ ได้เจอเพื่อนคนไทย แถวนี้หลายคน ..

Love Lane หรือถนน Lebuh Chulia เป็นถนนสายบันเทิง ของปีนัง
นักท่องเที่ยว หลายเชื้อชาติ มารวมตัวกันที่ถนนนี้ มีความหลากหลายมาก
แต่ราคาเหล้าเบียร์ ที่ปีนังค่อนข้างแพงมาก อาจจะเพราะภาษี ของที่นี่
อย่างเบียร์กระป๋องนึงประมาณ 12RM หรือประมาณ 100 บาทไทย ..

จุดรวมนักท่องเที่ยว เพราะเบียร์ถูก ที่สุดในปีนัง
จุดรวมนักท่องเที่ยว เพราะเบียร์ถูก ที่สุดในปีนัง

แต่ทุกที่ย่อมมีจุด Dark ของแต่ละที่ ที่ปีนังจะมีอยู่ร้านนึง ที่เป็นทางลัด
ไป Love Lane ตอนแรกเราก็งงว่า ทำไมร้านนี้ นักท่องเที่ยวนั่งกันเยอะจัง
ทั้งๆ ที่ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ แต่พอได้ไปนั่งคุย กับคนท้องที่ชาวมาเลย์
ก็เลยได้ความรู้อะไรเยอะมาก พี่เค้าพูดได้ 4 ภาษา ทั้งมาเลย์ อังกฤษ
จีน และอินเดีย เคยเป็นนักฟุตบอล มาแข่งที่หาดใหญ่ ด้วย ..

ที่นี่เบียร์จะราคาถูกมาก คือประมาณ 3 กระป๋อง 10RM ถูกว่าร้านปกติ
หรือ 7-11 ประมาณ 4 เท่า ก็งงเหมือนกัน ว่าร้านนี้เค้าทำได้ยังไง
แต่ดูจากร้าน เหมือนจะเป็นร้านขายของชำเก่าแก่ น่าจะได้รับการยกเว้น
เรื่องภาษี แต่ขายดีมากๆ วันนึงไม่น่าต่ำกว่า 5000 กระป๋อง
ที่น่าแปลกคือ SINGHA Beer ที่นี่ถูกกว่าที่ขายในเมืองไทย คือประมาณ 4RM ..

คืนนั้นหลังจากเดินเที่ยวสำรวจปีนัง ยามค่ำคืน ก็กลับที่พักนอนหลับสบาย
เพราะเดินเหนื่อยมาทั้งวัน .. เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ ให้เพื่อนที่ไทย
โอนเงินผ่าน Western Union มาให้ เราก็เดินหาที่รับเงิน ส่วนใหญ่
วันเสาร์ก็จะปิดหมด แต่มี Post Station ด้านล่างตึก Komtar ที่รับขึ้นเงิน
แต่ว่าปิดตอนเที่ยง เราไปถึง ก็ปิดแล้ว สรุป ก็หาที่ขึ้นเงินไม่ได้อยู่ดี ..

เรา Post ถามคำถามเรื่องการรับเงินไว้ใน FB ก็มีเพื่อนๆ มาตอบ
มาให้คำแนะนำกันเยอะมาก แต่สรุปแล้วก็คือ ให้กด ATM แต่อย่างที่บอก
ไว้ตอนแรก ว่า ATM เราเป็นบัตรธรรมดา กดเมืองนอกไม่ได้ ..
กลับมาถึงไทย คงต้องรีบทำบัตร ATM ที่เป็นบัตรเดบิต Master/Visa
เผื่อเจอปัญหานี้อีกเวลา เดินทาง จะได้เอาตัวรอดได้ ไม่ลำบากแบบนี้ ..

บังเอิญคุณจิ๊บ เพื่อนใน FB ได้แจ้งมาว่า เค้ามีน้องคนไทย ทำงานอยู่ปีนัง
เดี๋ยวให้เอาเงินสดมาให้ แล้วน้องเค้าก็นัดผมให้รอตรงไหนแล้วเค้าก็
ขับรถเอาเงินสดมาให้ ต้องขอบคุณคุณจิ๊บและน้องทั้งสองคนมากๆ ครับ ..
ไม่งั้นผมไม่น่าจะรอด คงต้องขายกล้องฟิล์ม Olympus PEN-D ที่ติดมา
เพราะมีร้านซื้อขายของเก่า หรือนักท่องเที่ยว ที่นิยมกล้อง retro อยู่เยอะ
ไม่ก็นั่งเปิดหมวก เขียนกลอนภาษาไทย ให้นักท่องเที่ยว น่าจะมีคนสนใจ ..

สรุปเย็นวันเสาร์เราก็รอดมาได้ ได้มีเงินสดไว้ใช้เดินทางท่องเที่ยว
แต่เย็นมากแล้ว ก็ไปไหนไกลๆ ไม่ได้ แต่ก็ยังอุ่นใจกว่าตอนมีเงิน
เหลือในกระเป๋า ไม่ถึง 10RM ..

เช้าวันอาทิตย์ เราก็เดินหาที่ขึ้นเงิน Western Union สรุป ไม่มีที่ไหนเปิด
แต่ดูในเว็บ บอกว่าเปิด พอโทรไป บอกให้มา Monday ซึ่งเราจะกลับบ่ายๆ
วันนี้อยู่แล้ว ก็เลยทำใจ คิดว่าค่อยว่ากันอีกที ไปให้เพื่อนยกเลิก ตอนกลับไทย
ก็น่าจะได้ .. ก็เลยเดินถ่ายรูป ชิลๆ ไปเรื่อยๆ ตามจุดต่างๆ แวะชิมของกิน
ขนม เครื่องดื่มต่างๆ ย่าน China Town ที่นี่ค่าครองชีพ จะสูงกว่าไทย
พอสมควร เรียกว่า แพงกว่าประมาณ 2-3 เท่า รายได้น้อยๆ แบบเรา
ถ้ามาอยู่ที่นี่คงอยู่ยาก ..

ประมาณ 2PM เราก็เดินทางกลับ ขึ้นรถ bus สาย 102 จาก Komtar
สายนี้จะผ่าน Queen Beach ซึ่งน่าจะเป็นย่านที่พักตากอากาศชายทะเล
ของที่นี่ เพราะโรงแรม ร้านรวง ต่างๆ เยอะมาก เจริญกว่าแถว Komtar
ถ้ามีโอกาสได้มาอีก จุดนี้เป็นจุดนึง ที่ไม่น่าพลาด แต่เราพลาดไปแล้ว
แค่ได้นั่งรถผ่าน ได้ชื่นชมบรรยากาศ ก็ยังดี ..

มาถึง Penang International Airport ก็ประมาณ 3.30PM เราก็
เดินไปเจอที่ขึ้นเงิน Western Union พอดี สรุป ได้เงินตอนจะกลับแล้ว
ก็ยังดีไม่ต้องวุ่นวายตอนกลับมาไทย ก็เลยแลกเป็น RM มา พอเครื่องมาถึงไทย
ก็จะแลกเงินกลับที่ Money Exchange ที่สนามบินดอนเมือง แต่ว่า rate
ไม่ค่อยดีเท่าไร คือได้ 7.7 เราเลยรอวันจันทร์ แล้วมาแลกที่ SuperRich
สาขา Central พระราม 9 ได้ rate 8.6 ก็ถือว่า Ok ..

สรุป trip ปีนัง ใช้เงินน้อยมากจริงๆ ครับ ประมาณ 500 บาท เพราะว่า
ที่พักจองผ่าน Agoda ไปแล้ว ปีนังเป็นเมืองเงียบๆ มีภาพวาด และเหล็กดัด
เป็นรูปต่างๆ รอบๆ เมือง สวยงามดี ผู้คนมีหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา
แต่เค้าอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบดี ถ้ามีโอกาส เราคงต้องมาเยือนอีกแน่นอนครับ ..

Japan Trip – 1st time in Japan (ฉบับย่อ)

ช่วงก่อนสงกรานต์คือวันที่ 29 Mar – 10 Apr 2016 ที่ผ่านมา เรามีโอกาส
เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น แบบ backpack คนเดียว โดยจองตั๋วราคาถูกของ
Air Asia ไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ช่วงที่ไปเป็นช่วงที่อากาศกำลังดี ไม่หนาวมาก
Sakura และดอกไม้อื่นๆ กำลังบานสพรั่งสวยงาม ..

ดอกไม้ที่เมือง YOKOHAMA กำลังบานสพรั่ง

การเดินทางของเราครั้งนี้ นอกจากจองที่พัก ที่เป็น Hostel ที่ Tokyo และ Kyoto ไว้
ซื้อ JR Pass แบบ 7 day เอาไว้เดินทาง ซื้อ Net SIM แบบ 8 day 4GB เอาไว้ดูเที่ยวรถไฟ
อย่างอื่นเช่นเรื่องสถานที่เที่ยว ที่จะไป เราก็ไม่ได้ plan อะไรไปตายตัวมากนัก
เพราะเราเดินทางคนเดียว หลงบ้าง ไรบ้าง ก็สนุกไปอีกแบบ เราไม่ซีเรียส ว่าต้องเป๊ะ ..

เดินทางจากไทย ไปถึง Narita Airport ก็ช่วงเช้าพอดี ไปถึงก็เอา JR Pass ที่จองไว้
ไปแลกเป็นบัตรแข็ง เพื่อเดินทางเข้าที่พัก ที่เป็น Hostel ที่ Tokyo นั่ง NEX8 เข้าไป
ที่พักที่เราจองไว้ ชื่อ toco เป็น Hostel & Bar แนว chic chic ใสๆ วัยรุ่นชอบ ..
เดินทางไปที่อื่นใน Tokyo ไม่ยาก เพราะอยู่ใกล้ Ueno station ที่เป็นสถานีใหญ่ ..

เพื่อนๆ จากนานาประเทศ ส่วนใหญ่เป็น backpacker วัยรุ่น

เราพักอยู่ Tokyo 4 คืน ระหว่างที่อยู่ Tokyo ก็นั่งรถไฟ ไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ
มี JR Pass นี่สะดวกสบายดีจริงๆ รถไฟเค้าเวลาเป๊ะดีมาก แล้วก็ไม่ต้องรอนาน
แป๊บเดียวก็มา เส้นทางก็ปรับเปลี่ยน adapt เอาได้ง่าย เวลาเราจะเดินทาง
เราจะดูตารางเที่ยวรถไฟจาก HyperDia.com เอา สะดวกมากในการเดินทาง ..

Tokyo Tower ที่เราเห็นในการ์ตูน โดเรม่อน สมัยเด็กๆ

เมืองใกล้ๆ ที่เราเดินทางไปเช้าเย็นกลับ แล้วประทับใจมาก ก็เป็น Yokohama
เพราะว่า เป็นช่วงที่ซากุระกำลังบาน สวยงามมาก หลงๆ ไปเจอพอดี ..
แถวๆ Yokohama Port ก็มีที่เดินเล่น ที่ชิล ที่ถ่ายรูป ร้านรวงต่างๆ เยอะดี ..

YOKOHAMA Port
ร้านรวงต่างๆ ที่ YOKOHAMA Port
YOKOHAMA Port

อีกเมืองนึงที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ก็คือ Fujisawa ที่อยู่ติดทะเล
เมืองนี้ชิลมาก ของกินอร่อยๆ เยอะ คนญี่ปุ่นเองก็มาเที่ยวกันเยอะ ..
ส่วนเมือง Kamakura ที่มีพระใหญ่ (Daibutsu) ก็เป็นอีกที่นึงที่นักท่องเที่ยว
ไปกันเยอะมาก เราเองก็เดินทางไปเรื่อยมั่วๆ หลงๆ ไป อยู่ย่านนี้ทั้งวัน ..

เมืองติดทะเล Fujisawa ชิลดี
พระใหญ่ Daibutsu ที่เมือง Kamakura

ส่วนใน Tokyo เอง จริงๆ แล้วที่เที่ยวที่น่าไปก็มีเยอะมาก ทั้งแนวไหว้พระ
แนว shopping แนวสวนสนุก แนวกินอาหาร แนวเที่ยวกลางคืนแสงดี
มีให้เลือกหมด ตอนกลางคืน เราไปถ่ายแสงที่ Odaiba ก็รวยดี มองเห็น
Tokyo Tower ในระยะที่แสงตัดกับสะพาน สวยดี ..

วิวจากริมหาดทราย Odaiba

จากนั้นเราเดินทางไป Kawaguchiko เพื่อชม Mt.Fuji วิธีการไปก็ง่ายมาก
สามารถนั่ง NEX8 ไปได้เลย แต่เราเดินทางจาก Tokyo จะย้อนกลับมา Narita Airport
ถ้าไม่อยากเดินทางย้อนไปย้อนมา เราแนะนำว่า ให้ไป Kawaguchiko ก่อน
แล้วค่อยกลับมาเที่ยว Tokyo จะสะดวกกว่า ..

สะพานด้านหลังเป็นสะพานที่พี่ตูนมาปั่นจักรยานโฆษณา 100plus
Mt.Fuji เป็นภูเขาที่ขี้อายมาก ไม่ค่อยออกมาให้เห็นเท่าไรนัก แต่วันนี้ฟ้าเปิด ฟ้าใสมาก เมฆสวยมาก
จุดชม Mt.Fuji ที่เจดีย์แดง
ทะเลสาป Kawaguchiko เหยี่ยวเยอะมาก
ทะเลสาป Kawaguchiko เหยี่ยวเยอะมาก
ทะเลสาป Kawaguchiko สถานที่ชม Mt.Fuji ยอดฮิต แต่กลางคืนเงียบเหงามาก
มีโรงแรม พี่พักมากมาย รอบๆ ทะเลสาป Kawaguchiko

สำหรับใครที่มา Kawaguchiko แนะนำให้ซื้อ Kawaguchiko Pass ประมาณ 2,000 Yen
เที่ยว 2 วัน ที่สถานีรถไฟ Kawaguchiko ไว้เลยครับ เพราะว่าจะรวมค่ารถบัส และ
ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ รวมถึงค่าขึ้นกระเช้าไปชม บ้านกระต่าย ไว้หมดแล้ว ..

Kawaguchiko เป็นเมืองเงียบๆ สงบ เกินสองทุ่ม ก็ไม่มีใครออกมาเดินกันแล้ว
ส่วนใหญ่จะเข้าที่พักกันหมด สำหรับใครที่ชอบแสงสี แนะนำว่า ลองมานอนสักคืน
ก็น่าจะพอแล้วครับ กลางวัน ก็สามารถนั่งรถบัส เที่ยวสถานที่ต่างๆ รอบทะเลสาป
ได้ครบภายในวันเดียว แต่ถ้าใครที่จะไปจุดชมวิว ที่เจดีย์แดง ต้องนั่งรถไฟย้อนกลับไป
อีก 2 สถานีครับ แล้วเดินไปตามป้ายบอกทาง ไม่ไกลจากสถานีมากนัก ..

เราเองนอนที่นี่ 2 คืน เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่มา เลยอยากสัมผัส กับบรรยากาศ
แบบเต็มๆ ของ Kawaguchiko เราว่าสำหรับที่นี่ เป็นจุดที่ชม Mt.Fuji ได้สวยงาม
มากๆ โดยเฉพาะร้านกาแฟ ที่ bus stop 21 ถ้าเพื่อนๆ มาก็แนะนำให้มาจุดนี้ด้วย ..

หลังจากอยู่ที่นี่มาได้ 2 วัน 2 คืน เราก็เดินทางต่อไป Kyoto เลย โดยนั่ง NEX8
ไปต่อ Shinkansen ที่สถานี Shinjuku จากนั้นวิ่งยาวไปยังสถานี Shin-Osaka
จากนั้นนั่ง Kyoto Line ต่อเข้าไปยัง Kyoto Station และต่อรถบัสเข้าไปที่พัก
ที่เป็น Hostel ชิคๆ คูลๆ ที่จองไว้ คือ Len Kyoto ที่อยู่ใจกลาง Kyoto
ใกล้ๆ กับแม่น้ำ Kamo ที่สองฝั่งแม่น้ำ มีซารุระบ้านสะพรั่ง สีชมพูเต็มไปหมด ..

Len Kyoto ที่พัก ชิคๆ คูลๆ
Len Kyoto ที่พัก ชิคๆ คูลๆ

ติดตามอ่าน ตอนที่ 2 ตะลุย Kyoto + Osaka ได้เร็วๆ นี้ครับ ..

บางกระเจ้า (Bang Krachao) ปอดของชาวกรุงเทพ

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปปั่นจักรยานที่บางกระเจ้า
อยู่ใกล้ๆ กรุงเทพนี่เอง แต่ไม่เคยไปเลย ได้ยินมาว่าเป็นแหล่งผลิต
โอโซนที่ดีทีสุดในโลก และเป็นเหมือนปอดของชาวกรุงเทพ ..

ผมหาข้อมูลการเดินทาง จากเว็บต่างๆ การเดินทางไม่ยาก เริ่มที่
BTS บางนา แล้วเรียกใช้บริการพี่วิน ไปท่าเรือวัดบางนานอก
บริเวณนี้ จะมีร้านอาหารอร่อยๆ เยอะเหมือนกัน ผมแวะกินก๋วยเตี๋ยวหมู
ใกล้ๆ ท่าเรือ เห็นคนเยอะดี แต่งร้านได้เก๋ดี ราคาก็ไม่แพง อร่อยด้วย ..

นั่งเรือข้ามฝาก เก็บเงินปลายทาง คนละ 4 บาท มีมอไซค์ข้ามด้วย
แต่คนไม่พลุกพล่านมาก เหมือนเกาะเกร็ด ชิลๆ สบายๆ กว่าเยอะ
ประมาณ 5 นาที ก็ถึงท่าเรือวัดบางน้ำผึ้งนอก ลงเรือก็หาเช่าจักรยาน
มีร้านให้เช่าหลายร้าน จักรยานที่นี่ส่วนใหญ่เป็นจักรยานมือสองญี่ปุ่น
ราคาชั่วโมงละ 30 บาท แต่ถ้าเกิน 3 ชั่วโมงจะคิดเหมาที่ 80 บาทต่อวัน
คุณภาพ พอใช้ได้ ดีกว่าเกาะเกร็ดเยอะเลย เพราะที่นี่นิยมปั่นจักรยานกัน
ทางที่ปั่นสวยงาม และร่มรื่นมาก มาครั้งแรก เจอทางแบบนี้ ประทับใจ ..

ผมเองไม่ได้เอาจักรยานมา เพราะมาครั้งแรก อยากมาสำรวจดูมากกว่า
ว่าถ้าเอาจักรยานมาเอง จะเอาข้ามมาได้แบบไหนบ้าง ทางปั่นเป็นยังไงบ้าง
ก็เลยมาเช่าของร้าน อ็อดตู้โค้ก ที่อยู่ข้างๆ ตู้โค้ก บริเวณท่าเรือ คุณภาพ
ก็ถือว่าใช้ได้ ผมปั่นไปประมาณ 3 ชั่วโมง เค้าคิดแค่ 60 บาท ก็ไม่แพง ..

บางกระเจ้า ยังอนุรักษ์วิถีตั้งเดิมไว้ได้ดีมาก ส่วนใหญ่จะทำสวนผลไม้กัน
ทำให้ระหว่างทางปั่นจักรยาน มีแต่สีเขียว บรรยากาศร่มรื่นมาก สมกับที่
เป็นแหล่งโอโซนที่ดีที่สุดของโลก และเป็นปอดของคนเมืองกรุง ..

สถานที่ ที่นักท่องเที่ยวต้องแวะมีป้ายบอกทางชัดเจน มีป้ายบอกทางตลอด
เช่นตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง, บ้านธูปหอม, Bangkok Tree House, พบรัก
พิพิธภัณฑ์ปลากัด, สวนศรี (สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติศรีนครเขื่อนขันธ์)
นอกจากนั้นยังมีวัดวาอาราม ให้เข้าไปไหว้พระ และวิถีชุมชน อาหารการกิน
ให้ได้สัมผัส อีกมากมาย ..

บางกระเจ้าเป็นเมืองของคนรักการท่องเที่ยว แบบชิลๆ โดยการปั่นจักรยาน
อย่างแท้จริง เพราะอากาศดี ไม่ร้อน มีอะไรให้ดูตลอดเส้นทาง ..
สวนศรี มีทางปั่นจักรยาน ที่จัดทำไว้รองรับนักปั่นอย่างดี มีหอดูนก สำหรับ
คนชอบดูนก อีกด้วย ที่นี่ผมได้เจอกับเจ้าของ BamBoo Bike ที่รักจักรยานมาก
เค้าเอาจักรยานคันทดสอบ มาปั่นดู เห็นบอกว่าเดี๋ยวจะมีทริปเฉพาะจักรยาน
ไม้ไผ่ ที่บางกระเจ้า เป็นที่แรก ประมาณ 20 คันเร็วๆ นี้ ..

บทสรุป ครั้งแรกสำหรับบางกระเจ้าสำหรับผม ผมประทับใจมาก เหมาะกับ
การปั่นจักรยานชิลๆ กินลม ชมบรรยากาศ หาซื้ออาหารอร่อยๆ ผลไม้สดๆจากสวน
Bangkok Tree House ก็ตกแต่งได้สวยงาม เข้ากับธรรมชาติได้ดีมาก
ถือเป็น Land Mark นึงของบางกระเจ้าได้เลย ใครมาก็ต้องแวะไปชม ..

การเดินทางจริงๆ สามารถเอารถยนต์ข้ามมาได้ สำหรับคนที่อยากมาแบบชิล
กับครอบครัว ทางท่าเรือพระประแดง ส่วนรายละเอียดสามารถหาได้ตามเว็บ
เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เห็นมีรถยนต์เข้ามาเยอะพอสมควร
แต่จะไม่ได้บรรยากาศการปั่นชมสวน ชมธรรมชาติ ที่เป็นหัวใจหลักของบางกระเจ้า ..

เกาะเกร็ด ครั้งแรก ไปจบที่สวนลุม

หลังจากไม่ได้เขียน blog ส่วนตัวมานาน ปีนี้ผมตั้งใจว่า
จะพยายามเขียนสักหน่อย เผื่ออนาคต FB เกิดหายไป
(มันก็เป็นไปได้ Hi5 ยังไม่มีแล้ว) จะได้มีเรื่องราวเหลืออยู่ ..

อาทิตย์นี้ว่างๆ ไม่ได้มี trip ไปเที่ยวไหน หรือมีงานนอกอะไร
ก็เลยคิดว่า จะไปไหนดี มีเวลาครึ่งวัน ตั้งแต่เที่ยงวันไป ..
คิดไปคิดมา ที่เที่ยวใกล้ๆ ที่ไม่เคยไป ก็ยังมีอีกเยอะเหมือนกัน
เกาะเกร็ด เป็นสถานที่ที่เข้ามาในหัว เป็นอันดับแรก เพราะว่า
ผมเองก็ไม่เคยไปเหมือนกัน การเดินทางเท่าที่หาข้อมูลดู ก็ไปไม่ยาก ..

เริ่มต้นเดินทาง จาก MRT ห้วยขวาง ประมาณเที่ยงตรง
จากนั้นต่อ BTS ไปลงอนุสาวรีย์ชัยฯ ออกประดู 4 เดินไปเรื่อยๆ
ลง sky walk ก็จะเจอรถเมล์จอดอยู่มากมาย ให้ขึ้นสาย 166
อนุสาวรีชัยฯ – ปากเกร็ด ตอนขึ้นบอกกระเป๋ารถเมล์ก่อนว่า
ถึงแล้วให้เค้าบอกด้วย เพราะไม่เคยไปเหมือนกัน ..

รถเมล์สายนี้ขึ้นโทลเวย์ยาวๆ น่าจะเพราะเป็นวันอาทิตย์ด้วย
เลยไม่ค่อยติดเท่าไร ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง ก็ถึงจุดที่ต้องลง
ก็คือตรง Lotus ปากเกร็ด จากนั้นนั่งวินต่อ หรือจะเดินก็ได้
ไปท่าเรือที่วัดสนามเหนือ ตรงนี้เราจะเห็น land mark ของ
เกาะเกร็ด ที่เป็นเจดีย์เอียงผูกผ้าแดง ได้อย่างชัดเจน ..

ที่โป๊ะเรือข้ามฝาก คนค่อนข้างเยอะมาก จากที่บอกว่านั่งได้ 32 คน
น่าจะมีอัดกันไปต่อเที่ยวเกือบ 200 คนได้ พอข้ามไปถึงฝั่งวัดปรมัยยิกาวาส
จะมีหมวกขาย แนะนำให้ซื้อถ้าไม่ได้เตรียมมา เพราะอากาศร้อน
และจะมีจักรยานให้เช่า ราคาคันละ 40 บาท ปั่นไปไว้ตรงไหนก็ได้
จักรยานส่วนใหญ่เป็นจักรยานแม่บ้านธรรมดา แต่ก็น่าจะช่วยทุ่นแรงได้
ถ้าอยากเดินทางรอบเกาะเกร็ด แต่ไม่เหมาะในช่วงเวลาคนเยอะๆ
เพราะว่าทางรอบเกาะ ค่อนข้างแคบ เวลาช่วงคนเยอะๆ จะลำบาก ..

ถ้าเดินวนทางขวามือ จะมีร้านรวง ขายของให้เลือกซื้อ เยอะมาก
ทั้งของกินอร่อยๆ ขนม ของฝาก ของที่ระลึก และอื่นๆ อีกมากมาย
แต่ผมไม่เคยมา ผมเลยเดินวนทางซ้าย ก็สงสัยเหมือนกันว่า คนเยอะแยะ
เค้าไปไหนกันหมด ไม่ค่อยเจอคนมาทางซ้ายเลย เดินไปจนไกลมาก ..

ถามคนในพื้นที่เค้าบอกเดินได้ แต่ประมาณ 6km แดดกำลังร้อนเลย
ผมเลยย้อนกลับมาทางเดิม เพราะแขนยังไม่ทันหายไหม้ จาก trip ปั่น
ที่เชียงใหม่ ช่วงก่อนปีใหม่ ไม่อยากให้ไหม้ ไปยิ่งกว่านี้ ก็เลยเดินย้อนกลับ
มาทาง วนขวา ไปทางยอดนิยม เดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย ของขายที่นี่
หน้าตาน่าอร่อยดี ราคาก็ไม่แพง แต่ผมไม่ได้ซื้ออะไร เพราะคนค่อนข้างเยอะ
ได้ข้าวเหนียวไก่ย่าง กับน้ำเปล่า มานั่งกินร้าน บ้านเลขที่ 1 หมู่ 1 ก็พอละ ..

การหลงทาง เป็นสิ่งที่มีเสน่ห์มากที่สุดของการเดินทาง เพราะทำให้เรา
ได้ไปเจออะไรใหม่ๆ เสมอ ที่ไม่มีใน review ที่เค้าเขียนๆ กันใน pantip
เดินเดินหลงทางไปเจอพี่ศิลปินคนนึง ที่เป็นช่างปั้นดินเผาอยู่ ได้คุยกัน
ก็ได้ความรู้เรื่องของเครื่องปั้นดินเผา ของเกาะเกร็ด เยอะพอสมควร ..

เดินเล่น ไหว้พระ ถ่ายรูปสักพัก จะประมาณ บ่ายสี่โมงเย็น ผมก็ข้ามฝั่ง
ที่ท่าเรือข้ามฝาก เพื่อกลับมาขึ้นรถเมล์กลับ เดินไปถนนฝั่งตรงข้าม
แต่เจอรถเมล์สาย 166 เขียนว่าเข้าเมืองทอง ผมเลยไม่กล้าขึ้น
เจอสาย 505 เขียนว่า ไปสวนลุม ก็เลยขึ้นไป เพราะคิดว่าอย่างน้อย
ก็ขึ้น MRT สวนลุม กลับที่พักได้สะดวก สาย 505 เป็นสายที่วิ่งผ่าน
สถานที่ต่างๆ เยอะมาก เรียกว่านั่งชิล ชมกรุงเทพกันคุ้มเลย ..

ประมาณ 6 โมงเย็น ผมก็มาถึงสวนลุม เข้าไปเดินเล่น ดูบรรยากาศ
คนมาเที่ยวพักผ่อน มาวิ่งออกกำลังกาย กันเยอะมาก มีทั้งคนไทย ฝรั่ง
ญี่ปุ่น จีน ฯลฯ เห็นมีเลน สำหรับปั่นจักรยานด้วย แต่จักรยานคงปั่นไม่ไหว
เพราะว่า คนวิ่งมีจำนวนเยอะมาก จะเกะกะคนวิ่ง ก็เลยเห็นปั่นกันน้อย ..

เดินเล่น ถ่ายรูปสักพัก ผมก็ขึ้น MRT สีลม ด้านข้างของพระบรมรูป ร.6
กลับมาย่านห้วยขวาง เป็นอันจบ trip สั้นๆ ของผม ถึงจะเป็นช่วงเวลา
ไม่นานมากนัก แต่ก็เป็นการเดินทาง ที่ตื่นเต้น และได้อะไรเยอะดี
อาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยไปเกาะเกร็ดมาก่อนด้วย ก็ถือเป็นประสบการณ์
ที่ดีอีก trip นึง ใกล้ๆ กรุงเทพของเรานี่เอง ลองไปเที่ยวกันดูครับ ..

* สำหรับรูปถ่ายทั้งหมด เดี๋ยวผมจะมาลงย้อนหลังให้ดูอีกทีนึงครับ

สรุปค่าใช้จ่าย

ค่าเดินทาง
MRT ไปลงหมอชิต 20 บาท
BTS ไปลงอนุสารีย์ 31 บาท
รถเมล์สาย 166 ไปลงปากเกร็ด 18 บาท
วินมอไซค์ไปลงท่าเรือ 10 บาท
เรือข้ามฝากขาไป 2 บาท
เรือข้ามฝากขากลับ 2 บาท
วินมอไซค์ไปลงหน้า Lotus 10 บาท
รถเมล์สาย 505 ไปลงสวนลุม 23 บาท
MRT ไปลงห้วยขวางประมาณ 30 บาท
รวมค่าเดินทาง 146 บาท

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ข้าวเหนียวไก่ย่าง 20 บาท
น้ำ 2 ขวด 16 บาท
รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ 36 บาท

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตลอดทริปเกาะเกร็ด 146+36 = 182 บาท